pharma news 1 oct 2012
PHARMA NEWS
ฉบับประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2555
ข่าวจากฝ่ายเภสัช
เอกสารประกอบการนำเสนอในกิจกรรมสัปดาห์ความปลอดภัยในระบบยา ระหว่างวันที่ 21-24 สิงหาคม 2555 สามารถ download เอกสาร ได้ที่ facebook ของกลุ่มงานเภสัชกรรมโรงพยาบาลพุทธโสธร ตาม link ด้านล่าง
http://dispharm.blogspot.com/2012/08/21-24-2555-2-21-2555-1.html?spref=fb
เปลี่ยนแปลงยา
1. เปลี่ยนแปลงรูปแบบยา Aluminium Hydroxide จากเดิม Aluminium Hydroxide Gel เปลี่ยนเป็นรูปแบบยาเม็ด คือ Aluminium Hydroxide Tablet 500 mg
Aluminium Hydroxide tablet |
2.เปลี่ยนแปลงความแรงยา
ACTOS® (Pioglitazone) จากเดิม ขนาด 15 mg เปลี่ยนเป็นขนาด 45 mg ซึ่งเป็นยาของบริษัท เดิม คือ ทาเคดา ฟาร์มาซูติคัล จำกัด โดย ACTOS® (Pioglitazone) ขนาด 45 mg 1 แผง จะมียาทั้งหมด 14 เม็ด
ยาเดิม Pioglitazone 15 mg |
ยาใหม่ Pioglitazone 45 mg |
ข้อมูลยา
ACTOS® 45 ในยา 1 เม็ดประกอบด้วย pioglitazone 45 mg
ข้อบ่งใช้ : เป็นยารักษาโรคเบาหวานชนิดรับประทาน ประเภท ไม่พึงอินซูลิน หรือ ชนิดที่ 2 (NIDDM,Type 2)
ขนาดรับประทาน : เริ่มต้น ที่ 15 mg วันละ หนึ่งครั้ง โดยที่ขนาดยาสูงสุดสามารถให้ได้ไม่เกิน 45 mg
ข้อห้ามใช้ : ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ยา, ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว NYHA class III หรือ IV ที่ไม่เคยใช้ยานี้มาก่อน
อาการข้างเคียง : ปวดศรีษะ, ปวดกล้ามเนื้อ, ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน,ไซนัสอักเสบ, หลอดลมอักเสบ, tooth Disorder, สภาวะโรคเบาหวานแย่ลง,บวมน้ำ
ความรู้คู่ยา
แพทย์ ชี้ฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูกป้องกันได้ 70 % แนะการป้องกันที่ดีที่สุดคือการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และควรได้รับการตรวจแปปสเมียร์เป็นประจำ
นายแพทย์ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า โรคมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในสตรีไทย ถึงแม้ว่าการตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาผู้ที่มีความผิดปกติของปากมดลูก ตั้งแต่ระยะก่อนเป็นมะเร็งอย่างเหมาะสมและทันเหตุการณ์
จะทำให้สามารถลดอุบัติการณ์และอัตราการตายจากโรคมะเร็งปากมดลูกได้ก็ตาม แต่ยังมีสตรีอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่เคยตรวจค้นหามะเร็งปากมดลูกเลย
ขณะนี้นักวิจัยได้คิดค้นและพัฒนาวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV เพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูก การติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแปปปิโลมาหรือที่เรียกว่า
HPV ไวรัสตัวนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุปากมดลูกเรื้อรังจน
กลายเป็นมะเร็งในที่สุด
วัคซีนที่ผลิตขึ้นซึ่งจำหน่ายในปัจจุบันสามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่เกิดจากเชื้อไวรัส HPV ชนิด 16 และ ชนิด 18 เท่านั้น แต่ไวรัสทั้ง 2 ชนิดเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลืออีก 30 เปอร์เซ็นต์ วัคซีนอาจจะใช้ไม่ได้ผล เนื่องจากยังมีเชื้อไวรัส HPV ชนิดอื่นที่ทำให้เกิดโรคดังกล่าว วัคซีนที่จำหน่ายอยู่ในขณะนี้ยังไม่สามารถผลิตจากเชื้อไวรัสที่ก่อเกิด มะเร็งนอกเหนือจาก ชนิด 16 และ ชนิด 18 ได้ นอกจากนี้มะเร็งปากมดลูกอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ร่วมด้วย สำหรับการฉีดวัคซีนโรคมะเร็งปากมดลูกให้ได้ผลและมีประสิทธิภาพควรฉีดก่อนการ มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก
แต่อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนป้องกัน การติดเชื้อ HPV ไม่ใช่วัคซีนที่ใช้ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกที่ได้ผล 100เปอร์เซ็นต์ การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยไม่เปลี่ยนคู่นอน ไม่มีคู่นอนหลายคน และสตรีเมื่ออายุครบ 35, 40, 45, 50, 55 และ 60 ปี ควรตรวจแปปสเมียร์เพื่อค้นหามะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มแรกและระยะก่อนเป็นมะเร็ง ตามที่กรมการแพทย์ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รณรงค์อยู่ และแนะนำให้สตรีที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกแล้ว 3 ปี หรืออายุไม่เกิน 21 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจแปปสเมียร์เป็นประจำ
วัคซีนที่ผลิตขึ้นซึ่งจำหน่ายในปัจจุบันสามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่เกิดจากเชื้อไวรัส HPV ชนิด 16 และ ชนิด 18 เท่านั้น แต่ไวรัสทั้ง 2 ชนิดเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลืออีก 30 เปอร์เซ็นต์ วัคซีนอาจจะใช้ไม่ได้ผล เนื่องจากยังมีเชื้อไวรัส HPV ชนิดอื่นที่ทำให้เกิดโรคดังกล่าว วัคซีนที่จำหน่ายอยู่ในขณะนี้ยังไม่สามารถผลิตจากเชื้อไวรัสที่ก่อเกิด มะเร็งนอกเหนือจาก ชนิด 16 และ ชนิด 18 ได้ นอกจากนี้มะเร็งปากมดลูกอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ร่วมด้วย สำหรับการฉีดวัคซีนโรคมะเร็งปากมดลูกให้ได้ผลและมีประสิทธิภาพควรฉีดก่อนการ มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก
แต่อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนป้องกัน การติดเชื้อ HPV ไม่ใช่วัคซีนที่ใช้ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกที่ได้ผล 100เปอร์เซ็นต์ การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยไม่เปลี่ยนคู่นอน ไม่มีคู่นอนหลายคน และสตรีเมื่ออายุครบ 35, 40, 45, 50, 55 และ 60 ปี ควรตรวจแปปสเมียร์เพื่อค้นหามะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มแรกและระยะก่อนเป็นมะเร็ง ตามที่กรมการแพทย์ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รณรงค์อยู่ และแนะนำให้สตรีที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกแล้ว 3 ปี หรืออายุไม่เกิน 21 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจแปปสเมียร์เป็นประจำ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น